การทำให้ร่างกาย กล้ามเนื้อ ระบบประสาททั่วร่างกายได้ผ่อนคลายเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ควรจะมองข้ามไป ท่าผ่อนคลายเหล่านี้ควรจะได้ฝึกก่อนที่จะฝึกท่าโยคะอื่น ๆ หรือควรจะฝึกหลังจากร่างกายเหน็ดเหนื่อยมา กลุ่มของท่าโยคะเหล่านี้ วีธีฝึกดูแล้วง่ายมาก แต่จะฝึกให้ถูกต้องสมบูรณ์จริง ๆ เพื่อจะให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายได้ผ่อนคลายนั้นยากพอสมควร มีบางคนคิดว่าเขาได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาเรียบร้อยแล้ว แต่ความจริงอาจจะมีบางส่วนของร่างกายยังเกร็งอยู่โดยไม่รู้ตัว

            ในยุคของความเจริญทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์มีความเครียดกังวล ตื่นเต้นอยู่เสมอ เขาเหล่านั้นแม้แต่นอนหลับก็ยังไม่ได้รับการพักผ่อนที่แท้จริงเลย กลุ่มของท่าผ่อนคลายความเครียดเหล่านี้ จะช่วยให้บุคคลเหล่านั้นได้รับการพักผ่อนและผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง

            วิธีปฏิบัตินั้นง่ายมาก แต่ผลที่ได้รับให้เกิดความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจมหาศาล กลไกของการปฏิบัติภาษาโยคะเรียกว่า โยคะนิทรา (Yoga nidra)

          หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติงานมาตลอดวัน ก่อนเข้านอนลองปฏิบัติขั้นตอนเหล่านี้จะมีประโยชน์มาก นอนลงไปกับพื้นบนผ้าอาสนะ ใน ท่าศพอาสนะ โดยนอนหงายฝ่ามือทั้งสองข้างหงายข้างลำตัว ห่างลำตัวเล็กน้อย เท้าแยกห่างกันประมาณ 1 1/2 ศอก หน้าตรง หลับตาเพียงแผ่วเบา ผ่อนคลายทั่วร่างกายแล้วส่งสมาธิไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งสมาธิไปที่มือซ้าย ให้มีความรู้สึกว่าแขนและมือซ้ายแตะพื้นเพียงแผ่วเบา ส่งสมาธิช้า ๆ ไปที่นิ้วหัวแม่มือ ให้มีความรู้สึกผ่อนคลายไม่เกร็ง ต่อไปส่งไปที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ส้นเท้าซ้าย ฝ่าเท้าซ้าย นิ้วหัวแม่เท้าซ้าย นิ้วเท้านิ้วที่สอง นิ้วเท้านิ้วที่สาม นิ้วเท้านิ้วที่สี่ นิ้วเท้านิ้วที่ห้า และนิ้วเท้าซ้ายทั้งหมด ส่งสมาธิเช่นเดียวกันกับร่างกายซีกขวาและทุกอวัยวะทุกส่วนของศรีษะและลำตัวทั้งหมด ขอให้แน่ใจและมีความรู้สึกว่าทุกส่วนของร่างกายผ่อนคลายและนอนสงบสบายอยู่บนพื้น แล้วส่งสมาธิซ้ำเหมือนเดิมอีกสัก 2-3 รอบ จนกระทั่งแน่ใจว่าอาการเครียด อาการเกร็งมลายหายไป ที่กล่าวทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโยคะนิทรา (Yoga nidra) ซึ่งช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้ร่างกายและจิตใจสงบสบายและสดชื่น ท่าศพอาสนะอาจทำได้ในท่านอนหงาย นอนตะแคงหรือนอนคว่ำ



ท่าศพอาสนะในท่าหงาย (Corpse pose)



วิธีทำ

            นอนหงายบนผ้าอาสนะแขนทั้งสองข้างหงายข้างลำตัว ฝ่ามือหงายขึ้น ห่างจากลำตัวเล็กน้อย เท้าทั้งสองข้างห่างกันเล็กน้อย หลับตาเพียงแผ่วเบา

ให้ร่างกายทุกส่วนผ่อนคลาย ไม่เคลื่อนไหวส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย

หายใจเข้าออกเป็นจังหวะตามธรรมชาติ เวลาหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ

ส่งสมาธิไปที่หายใจเข้าก็ให้รู้เห็นว่าหายใจเข้าและหายใจออกก็ให้รู้เห็นว่าหายใจออก

            ต่อไปให้เริ่มนับการหายใจ หายใจเข้าแล้วหายใจออกนับเพียงหนึ่ง นับต่อไปเรื่อย ๆ ประมาณ 2-3 นาที ถ้าจิตใจวอกแวกหรือเขวไปที่อื่น ก็ค่อย ๆ ดึงมาที่การนับหายใจเข้าและหายใจออกตามเดิม ถ้าท่านสามารถควบคุมจิตใจให้จดจ่ออยู่กับการหายใจเข้าและหายใจออกเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น ร่างกายและจิตใจของท่านจะผ่อนคลาย สงบ เยือกเย็น และสบาย

ประโยชน์

            ช่วยผ่อนคลายทุกระบบของร่างกาย ควรจะฝึกก่อนเข้านอน ทำให้นอนหลับสนิท และควรจะฝึก ท่าศพอาสนะ ทุกครั้ง จะทำให้ตัวเบาและสดชื่น




ท่าศพอาสนะในท่าตะแคง (The reversed corpse pose)


วิธีทำ

            นอนคว่ำลงไปกับพื้นบนผ้าอาสนะ ตะแคงหน้าไปทางขวาหรือซ้าย แขนเหยียดตรงขึ้นไปเหนือศรีษะ วางแขนตามสบายไม่เกร็ง เท้าห่างกันเล็กน้อย ผ่อนคลายทั่วร่างกาย ดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น หายใจจังหวะสม่ำเสมอตามธรรมชาติ ส่งสมาธิมาที่การหายใจเข้าและหายใจออกนับเป็นหนึ่ง ทำเช่นนี้สัก 2-3 นาที

ประโยชน์

            ท่านี้มีประโยชน์กับผู้ที่มีปัญหาโรคปวดตามข้อ โรคข้อเสื่อม บุคคลที่คอแข็งปวดคอ หรือผู้ที่มีอาการหลังโกง ตัวงอและเป็นท่าที่ช่วยทำให้นอนหลับสบาย



ท่าจระเข้ (Crocodile posture)

วิธีทำ

            นอนคว่ำลงไปกับพื้น ข้อศอกยันอยู่กับพื้น เอาฝ่ามือทั้งสองข้างยันคางเอาไว้ ให้ไหล่ ศรีษะตั้ง ผ่อนคลายอวัยวะทั่วร่างกาย หลับตาเพียงแผ่วเบา หายใจสม่ำเสมอเป็นธรรมชาตินานพอสมควร ส่งสมาธิไปที่หายใจ และหายใจออก เริ่มนับการหายใจประมาณ 2-3 นาที

ประโยชน์

            ท่านี้มีประโยชน์มากกับผู้ที่มีปัญหาข้อต่อหลัง ข้อต่อเอว ข้อต่อสะโพกเสื่อม แก้อาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดต้นคอ

            ช่วยแก้อาการ และป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดไม่แข็งแรง ควรจะฝึกท่าง่าย ๆ นี้ไปก่อนจนร่างกายแข็งแรงพร้อมค่อย ๆ ฝึกท่ายาก ๆ เพิ่มทีหลัง



ท่าปลาตะแคง (The flapping fish pose)


วิธีทำ

            นอนตะแคงขวา งอเข่าซ้ายวางให้แตะพื้นดึงเข้าให้ใกล้ซี่โครง งอแขนซ้ายให้ข้อศอกอยู่เหนือเข่าซ้าย ศรีษะขวาวางพักบนแขนขวา ซึ่งงอข้อศอกให้ฝ่ามือขาวางซ้อนกับฝ่ามือซ้าย ลักษณะเหมือนปลาตะแคงตัว ขาขวาเหยียดตามสบาย

            ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ส่งสมาธิไปที่การหายใจเข้า และหายใจออก นับการหายใจ 2-3 นาที

ประโยชน์

            ท่านี้ช่วยกระตุ้นระบบทางเดินอาหารให้ทำหน้าที่ดีขึ้น ช่วยการย่อย การดูดซึมอาหาร แก้อาการท้องผูก, แก้อาการปวดประสาทแถวขา และช่วยลดไขมันแถวสะเอว ท่านี้เป็นท่าพักผ่อนทั่วร่างกายที่ดีมากอีกท่าหนึ่ง




            การเริ่มต้นฝึกโยคะนั้น ต้องใช้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ และต่อมาก็คือ ความเพียรพยายามและความอดทน

            ผู้เขียนอยากจะให้ข้อคิดกับท่านผู้อ่านทุกท่าน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ขอให้มีความตั้งใจจริงทำจริงไม่เกินความสามารถของมนุษย์เราไปได้เลย

            1.     การฝึกโยคะอาสนะนี้ ในระยะแรกขอให้ มีความตั้งใจจริง เป็นหนึ่งก่อน เมื่อทุกคนทราบประโยชน์ของโยคะศาสตร์แล้ว ขอให้เตรียมตัว และ ตั้งใจสละเวลาให้วันละประมาณหนึ่งชั่วโมง ให้กับการฝึก ในวันแรกจงตั้งใจ และมีสมาธิ ฟังครูผู้ฝึก และต้องคอยดูแลเอาใจใส่ ทำตามแบบหายใจเข้า หายใจออก และกลั้นหายใจเป็นบางครั้ง ขอให้ทำตามทุกจังหวะ ในวันแรกทุกคนจะต้องบ่นว่าจำท่าและจำหายใจเข้า-ออกไม่ค่อยได้ แต่เมื่ออดทนฝึกไปได้สักสี่ห้าครั้งก็จะจำได้ และไม่สับสน เมื่อท่านจำท่าและหายใจได้แล้ว ท่านจะรู้สึกฝึกไปได้คล่อง และอ่อนช้อยสวยงามขึ้น และขณะเดียวกันกล้ามเนื้อทุกส่วนของท่าน เส้นเอ็นทุกเส้น ข้อทุกข้อจะถูกยืด ถูกบิดทีละน้อย กล้ามเนื้อทุกส่วนจะอ่อนไม่ตึง แต่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ ข้อทุกข้อจะอยู่ในสภาพที่เตรียมพร้อมไว้รับน้ำหนักตัว

            2.     ขอให้ทุกท่านมีความเพียรพยายามและอดทน     ถ้าเรามีความตั้งใจจริงแล้ว ความพยายามและความอดทนก็ตามมาด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของเรา บางท่านอาจจะแปลกใจว่าทำไมจะต้องพยายามและอดทนด้วย เพราะท่าโยคะบางท่านั้นต้องใช้เวลาฝึกวันละน้อยถึงจะทำได้สวยและสมบูรณ์แบบ เมื่อท่านทำได้สมบูรณ์แบบ ผลประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นกับตัวท่านอย่างมากมาย จนจะหาค่ามาเปรียบเทียบไม่ได้ ซึ่งผู้เขียนได้ประสบกับตัวผู้เขียนเอง

            ระยะที่ผู้เขียนกำลังเป็นศิษย์อาจาร์ยชด หัศบำเรอ อยู่ เมื่อผู้เขียนได้ไปพบผู้ที่รู้จักและคุ้นเคย ทุกคนต้องถามว่าคุณไปทำอะไรมา ถึงได้ดูสะโอดสะองและแจ่มใสขึ้น ผู้เขียนจะต้องพูดถึงคุณประโยชน์ของโยคะศาสตร์ให้ฟัง และพยายามชักชวนให้ไปฝึกด้วย มีน้อยรายที่จะตัดสินใจและตั้งใจจริงในทันที นอกจากนั้นจะผลัดวันประกันพรุ่งเรื่อยมา จนกระทั่ง มาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้ ความเปลี่ยนแปลงในทางที่น่าสนใจของผู้เขียนคงชัดมากขึ้น เช่น รูปร่างซึ่งเคยอ้วน 63 กก. ลดลงเหลือ 49 กก. และหน้าตามีน้ำมีนวลแจ่มใสขึ้น เพื่อนฝูงและผู้สนิทสนมกัน จึงได้ตัดสินใจทดลองไปฝึกบ้าง พอไปได้ในระยะ 1 อาทิตย์แรก ทุกคนก็เริ่มเห็นคุณค่าและพยายามอดทนแบ่งเวลาไปทุกวัน ขณะนี้ท่านเหล่านั้นเมื่อพบหน้ากันก็จะต้องขอบคุณที่ผู้เขียนอุตส่าห์แนะนำ

            วันหนึ่ง ในขณะที่ผู้เขียนกำลังฝึกอยู่ที่สถานฝึกโยคะของท่านอาจาร์ยชด หัศบำเรอ ผู้เขียนเห็นสุภาพสตรีท่านหนึ่งเดินลงมาจากรถยนต์ พร้อมกับมีไม้เท่าค้ำพยุงร่างลงมา เพราะขาข้างหนึ่งไม่สามารถเหยียดให้ตรงได้ ผู้เขียนนั่งเฝ้ามองสุภาพสตรีผู้นั้นอย่างเห็นใจ เพราะรู้สึกว่าน้ำหนักตัวมากอาจจะถึง 80 กก. อ้วนไปทุกส่วน แขน ขา และลำตัว ผู้เขียนให้นึกท้อใจแทนว่าจะฝึกไหวหรือนี่ แต่ตั้งแต่วันนั้น ผู้เขียนเห็นท่านสุภาพสตรีผู้นั้นมาทุกวันไม่เคยเว้น ท่านพยายามฝึกด้วยความตั้งใจ เพียรพยายามและอดทน จนกระทั่งผู้เขียนได้ทำความรู้จักและพูดคุยกัน และบางครั้งมานั่งและนอนฝึกใกล้กัน เพียงในระยะ 2 เดือนเท่านั้น สุภาพสตรีผู้นั้นน้ำหนักลดลงไปกว่าเดิม 10 กก. ทุกส่วนดูเล็กลง และท่านได้ทิ้งไม้เท้า ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้อีกเลย ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าท่านเป็นโรคปวดข้อเท้า ข้อเท้าบวมตลอดเวลา หลังจากฝึกได้ 2 อาทิตย์ อาการปวดข้อเท้าดีขึ้น และท่านไม่ต้องใช้ไม้เท้าพยุงร่างลงจากรถแล้ว ท่านดีใจมาก ท่านผู้อ่านลองนึกภาพดูคนที่อ้วนมากจนน้ำหนักตัว 80 กก. ข้อทุกข้อจะต้องพยุงร่างกายเอาไว้ เพราะฉะนั้น อาการปวดข้อเท้า ข้อเข่า ก็จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย ผู้เขียนขอชมเชยท่านสุภาพสตรีผู้นี้ด้วยใจจริง เพราะท่านเป็นผู้มีความตั้งใจจริง อดทนพยายามฝึกทุกท่าให้ได้สวยงาม และสมบูรณ์แบบ ภายในเวลาไม่กี่เดือนท่านสุภาพสตรีผู้นี้ก็ถึงหลักชัยแล้ว ผู้เขียนจำคำพูดของท่านได้แม่นยำประโยคหนึ่งว่า "น้ำหยดลงบนหินวันละหยด หินยังกร่อนได้ คนซึ่งมีความอดทนวันละน้อย สิ่งที่เราปรารถนาก็จะเป็นของเราในไม่ช้า" ผู้เขียนขออนุญาตนำคำพูดของท่านมาลงไว้ด้วย